• "อัลปากา" (Alpaca) สัตว์คอยาวขนนุ่ม จากเทือกเขาแอนดีส

    #อัลปากา
    (Alpaca) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์อูฐ (Camelidae) ซึ่งเป็นญาติกับตัวยามา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศเปรู, ตอนเหนือของโบลิเวีย, เอกวาดอร์ และตอนเหนือของชิลี พวกมันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่สูงและทนทานต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันได้ดี

    อัลปากามีลำตัวขนาดเล็กกว่ายามาเล็กน้อย โดยมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 125-175 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 60-80 กิโลกรัม มีคอยาว ขาสั้น หูแหลมเล็ก และใบหน้าที่ดูน่ารักอ่อนโยน เท้าของพวกมันนุ่มนิ่ม และเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มี 3 กระเพาะ (ต่างจากสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ ที่มักมี 4 กระเพาะ)

    จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของอัลปากาคือ ขนที่หนาแน่น นุ่มฟู และละเอียดมาก จนได้รับการขนานนามว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" ขนอัลปากาเป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่น

    อัลปากาเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง มีนิสัยอ่อนโยน สงบ และเข้ากับคนได้ดี พวกมันมักส่งเสียงสูงคล้ายนกเมื่อต่อสู้กัน และจะพ่นน้ำลายออกมา (คล้ายอูฐ) หากรู้สึกว่าถูกคุกคาม โดยเฉพาะเมื่อถูกสัมผัสที่บริเวณก้น

    อัลปากาถูกเลี้ยงมาเพื่อใช้ประโยชน์จากขนเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากยามาที่มักถูกใช้เพื่อขนสัมภาระ ขนของอัลปากาถูกนำมาผลิตเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มหลากหลายชนิด เช่น ผ้าห่ม, เสื้อกันหนาว, หมวก, ถุงมือ, ผ้าพันคอ และเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงและหรูหรา

    ในประเทศไทยก็มีฟาร์มอัลปากาหลายแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความน่ารักและสัมผัสกับสัตว์ขนนุ่มเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด

    CREDIT : The Earth
    "อัลปากา" (Alpaca) สัตว์คอยาวขนนุ่ม จากเทือกเขาแอนดีส 🦙 #อัลปากา (Alpaca) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในวงศ์อูฐ (Camelidae) ซึ่งเป็นญาติกับตัวยามา มีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะทางตอนใต้ของประเทศเปรู, ตอนเหนือของโบลิเวีย, เอกวาดอร์ และตอนเหนือของชิลี พวกมันเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่สูงและทนทานต่อสภาพอากาศที่แตกต่างกันได้ดี 🦙 อัลปากามีลำตัวขนาดเล็กกว่ายามาเล็กน้อย โดยมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 125-175 เซนติเมตร และน้ำหนักประมาณ 60-80 กิโลกรัม มีคอยาว ขาสั้น หูแหลมเล็ก และใบหน้าที่ดูน่ารักอ่อนโยน เท้าของพวกมันนุ่มนิ่ม และเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้องที่มี 3 กระเพาะ (ต่างจากสัตว์เคี้ยวเอื้องอื่นๆ ที่มักมี 4 กระเพาะ) 🦙 จุดเด่นที่สำคัญที่สุดของอัลปากาคือ ขนที่หนาแน่น นุ่มฟู และละเอียดมาก จนได้รับการขนานนามว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" ขนอัลปากาเป็นที่ต้องการอย่างมากในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่น อัลปากาเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูง มีนิสัยอ่อนโยน สงบ และเข้ากับคนได้ดี พวกมันมักส่งเสียงสูงคล้ายนกเมื่อต่อสู้กัน และจะพ่นน้ำลายออกมา (คล้ายอูฐ) หากรู้สึกว่าถูกคุกคาม โดยเฉพาะเมื่อถูกสัมผัสที่บริเวณก้น อัลปากาถูกเลี้ยงมาเพื่อใช้ประโยชน์จากขนเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากยามาที่มักถูกใช้เพื่อขนสัมภาระ ขนของอัลปากาถูกนำมาผลิตเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่มหลากหลายชนิด เช่น ผ้าห่ม, เสื้อกันหนาว, หมวก, ถุงมือ, ผ้าพันคอ และเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสูงและหรูหรา ในประเทศไทยก็มีฟาร์มอัลปากาหลายแห่งที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมความน่ารักและสัมผัสกับสัตว์ขนนุ่มเหล่านี้ได้อย่างใกล้ชิด CREDIT : The Earth
    Like
    2
    0 Комментарии 0 Поделились 3Кб Просмотры
  • ครั้งนึงของชีวิตชายไทย #นักรบชายแดน #นักรบสามจังหวัด
    ครั้งนึงของชีวิตชายไทย #นักรบชายแดน #นักรบสามจังหวัด
    Like
    3
    0 Комментарии 0 Поделились 2Кб Просмотры
  • เจ้าทองแดงของชั้ล
    เจ้าทองแดงของชั้ล🐱🐱🐈
    Like
    1
    0 Комментарии 0 Поделились 379 Просмотры
  • #จับได้แล้วครับ
    หมาร็อตไวเลอร์ 4 ตัว #ถูกนำมาทิ้งกลางป่าหลายวันแล้ว อยู่ในสภาพหิวโซ #บางตัวมีแผลเน่ามีหนอนเจาะ

    #คืนนี้ไม่ต้องนอนตากฝนแล้ว

    พระครูอ๊อด–มูลนิธิ The ARK Foundation ช่วยเหลือร็อตไวเลอร์ถูกทอดทิ้งกลางป่าบ้านแม่กำปอง ฝ่าฝน-หิวโซกว่า 5 วัน

    เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 มิถุนายน 2568 พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน (พระครูอ๊อด) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุพบสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์จำนวน 4 ตัว ถูกนำมาทอดทิ้งกลางป่าในสภาพผ่ายผอมและเปียกปอนจากฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน บริเวณใกล้แหล่งท่องเที่ยวชุมชนบ้านแม่กำปอง ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่

    พระครูอ๊อดจึงร่วมลงพื้นที่พร้อมกับนายบัณฑิต หมื่นเรือคำ ตัวแทนมูลนิธิ ดิ อาร์ค (The ARK Foundation) และหน่วยกู้ภัยอำเภอแม่ออน เพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือ โดยพบว่าสุนัขทั้ง 4 ตัวอยู่ในพื้นที่ป่า ไม่มีที่หลบฝน ไม่มีอาหาร และไม่มีบ้านเรือนของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง สภาพโดยรวมของสุนัขอยู่ในภาวะหิวโซ และบางตัวมีบาดแผลลึกจากการต่อสู้ ซึ่งบางจุดมีหนอนขึ้นและมีอาการอักเสบอย่างรุนแรง

    ทีมช่วยเหลือเริ่มต้นจากการสร้างความคุ้นเคยกับสุนัข ใช้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารเปียกเพื่อสร้างความไว้ใจ ก่อนจะประเมินแนวทางช่วยเหลือ เนื่องจากสุนัขไม่มีเจ้าของ และแสดงอาการระแวง จึงมีการใช้ยาสลบอย่างเหมาะสมเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ทำให้สุนัขหนีหายเข้าป่า

    หลังปฏิบัติการ สุนัขทั้ง 4 ตัวถูกเคลื่อนย้ายได้อย่างเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงตรวจหาโรคติดต่อ อาทิ ไข้หัดสุนัข เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวสุนัขและสัตว์อื่นที่อาจต้องอยู่ร่วมกันระหว่างการพักฟื้นในศูนย์บริบาลสัตว์

    พระครูอ๊อดเปิดเผยว่า หลังจากนี้จะประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิ The ARK Foundation และกลุ่มอาสาสมัครเพื่อช่วยดูแลฟื้นฟูสุขภาพของสุนัขทั้ง 4 ตัว พร้อมกันนี้ ยังเตรียมจัดกิจกรรมทอดผ้าป่าอาหารสุนัข–แมว เพื่อระดมสิ่งของจำเป็นสำหรับการช่วยเหลือสัตว์จรจัดและสัตว์ที่ได้รับการช่วยชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต

    “สุนัขเหล่านี้อาจถูกมองว่าไร้ค่า แต่สำหรับเราคือชีวิตที่ไม่ควรถูกทอดทิ้งในป่าอย่างเดียวดาย การได้เห็นพวกเขาปลอดภัยขึ้นอีกครั้ง คือแรงใจของเราในการเดินหน้าช่วยเหลือสัตว์ที่ไร้ที่พึ่ง และวันนี้อิ่มใจเเละดีใจมาก“ พระครูอ๊อดกล่าว

    #ขอบคุณน้องใหญ่น้องเล้ง
    Noomyai Mashin
    #จับได้แล้วครับ หมาร็อตไวเลอร์ 4 ตัว #ถูกนำมาทิ้งกลางป่าหลายวันแล้ว อยู่ในสภาพหิวโซ #บางตัวมีแผลเน่ามีหนอนเจาะ #คืนนี้ไม่ต้องนอนตากฝนแล้ว พระครูอ๊อด–มูลนิธิ The ARK Foundation ช่วยเหลือร็อตไวเลอร์ถูกทอดทิ้งกลางป่าบ้านแม่กำปอง ฝ่าฝน-หิวโซกว่า 5 วัน เมื่อช่วงเย็นของวันที่ 28 มิถุนายน 2568 พระครูสังฆรักษ์วีรวัฒน์ วีรวฑฺฒโน (พระครูอ๊อด) วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับแจ้งเหตุพบสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์จำนวน 4 ตัว ถูกนำมาทอดทิ้งกลางป่าในสภาพผ่ายผอมและเปียกปอนจากฝนที่ตกติดต่อกันหลายวัน บริเวณใกล้แหล่งท่องเที่ยวชุมชนบ้านแม่กำปอง ตำบลห้วยแก้ว อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ พระครูอ๊อดจึงร่วมลงพื้นที่พร้อมกับนายบัณฑิต หมื่นเรือคำ ตัวแทนมูลนิธิ ดิ อาร์ค (The ARK Foundation) และหน่วยกู้ภัยอำเภอแม่ออน เพื่อปฏิบัติการช่วยเหลือ โดยพบว่าสุนัขทั้ง 4 ตัวอยู่ในพื้นที่ป่า ไม่มีที่หลบฝน ไม่มีอาหาร และไม่มีบ้านเรือนของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง สภาพโดยรวมของสุนัขอยู่ในภาวะหิวโซ และบางตัวมีบาดแผลลึกจากการต่อสู้ ซึ่งบางจุดมีหนอนขึ้นและมีอาการอักเสบอย่างรุนแรง ทีมช่วยเหลือเริ่มต้นจากการสร้างความคุ้นเคยกับสุนัข ใช้ทั้งอาหารเม็ดและอาหารเปียกเพื่อสร้างความไว้ใจ ก่อนจะประเมินแนวทางช่วยเหลือ เนื่องจากสุนัขไม่มีเจ้าของ และแสดงอาการระแวง จึงมีการใช้ยาสลบอย่างเหมาะสมเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยโดยไม่ทำให้สุนัขหนีหายเข้าป่า หลังปฏิบัติการ สุนัขทั้ง 4 ตัวถูกเคลื่อนย้ายได้อย่างเรียบร้อย โดยเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้น รวมถึงตรวจหาโรคติดต่อ อาทิ ไข้หัดสุนัข เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวสุนัขและสัตว์อื่นที่อาจต้องอยู่ร่วมกันระหว่างการพักฟื้นในศูนย์บริบาลสัตว์ พระครูอ๊อดเปิดเผยว่า หลังจากนี้จะประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย อาทิ มูลนิธิ The ARK Foundation และกลุ่มอาสาสมัครเพื่อช่วยดูแลฟื้นฟูสุขภาพของสุนัขทั้ง 4 ตัว พร้อมกันนี้ ยังเตรียมจัดกิจกรรมทอดผ้าป่าอาหารสุนัข–แมว เพื่อระดมสิ่งของจำเป็นสำหรับการช่วยเหลือสัตว์จรจัดและสัตว์ที่ได้รับการช่วยชีวิตจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคต “สุนัขเหล่านี้อาจถูกมองว่าไร้ค่า แต่สำหรับเราคือชีวิตที่ไม่ควรถูกทอดทิ้งในป่าอย่างเดียวดาย การได้เห็นพวกเขาปลอดภัยขึ้นอีกครั้ง คือแรงใจของเราในการเดินหน้าช่วยเหลือสัตว์ที่ไร้ที่พึ่ง และวันนี้อิ่มใจเเละดีใจมาก“ พระครูอ๊อดกล่าว #ขอบคุณน้องใหญ่น้องเล้ง Noomyai Mashin
    Love
    1
    4 Комментарии 0 Поделились 2Кб Просмотры
  • ก่อนหน้านั้นได้โพสหนังเรื่อง Arthur the King : อาเธอร์ จอมราชา ที่สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับ น้องหมาจรจัดที่คอยวิ่งตามเป้นกำลังให้กับนักกีฬาจนประสบความสำเร็จ

    โพสนี้เลยขอนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมาครับ ไปดูกันเลยครับ

    อาร์เธอร์ : สุนัขจรจัดที่ฝ่าเส้นทางวิ่งเทรลหฤโหดจนเข้าเส้นชัย เพียงเพราะตามคนให้อาหาร

    "ผมมาเอกวาดอร์เพื่อคว้าแชมป์โลก แต่ผมได้เพื่อนใหม่กลับไป" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าว

    การแข่งขันผจญภัย หรือ Adventure race ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันสุดท้าทาย เพราะไม่เพียงต้องพาตัวเองและทีมเข้าเส้นชัย แต่ยังต้องเอาตัวรอดท่ามกลางสภาพอากาศและภูมิประเทศอันโหดหิน

    อย่างไรก็ดีหลายปีก่อนกลับมีสุนัขจรจัดเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยความบังเอิญ แถมยังสามารถเข้าเส้นชัยพร้อมกับมนุษย์ เพียงเพราะตามคนที่ให้อาหารมัน

    ศึกเอาชีวิตรอด
    แม้ว่าชื่อของ Adventure race หรือการแข่งขันผจญภัย อาจจะไม่ได้คุ้นหูชาวไทยมากนัก แต่มันก็เป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก หลังเริ่มจัดชิงแชมป์โลกมาตั้งแต่ปี 2000

    แต่ละทีมที่มีสมาชิก 2-4 คน จะต้องเดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรในเส้นทางที่ไม่ปรากฎบนแผนที่ และอาจจะเจอกับสภาพอากาศที่สุดขั้ว ผ่านการปีนเขา เดินป่า ปั่นจักรยาน และพายเรือคายัค

    การแข่งขันอาจจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 วัน และแต่ละวันผู้เข้าร่วมการแข่งขันอาจจะได้พักกันแค่ชั่วโมงเดียวหรือน้อยกว่านั้น

    แต่ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะต้องเกาะกลุ่มกัน แบ่งสรรปันส่วนอาหารและน้ำ และแน่นอนว่าหากใครในทีมได้รับบาดเจ็บก็จะต้องพาไปด้วย เพื่อเข้าเส้นชัยพร้อมกันจึงจะถือว่าจบการแข่งขัน

    ปี 2014 ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ จากสวีเดน หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก ประกอบไปด้วย มิคาเอล ลินด์นอร์ด, ไซมอน นีมี, คาเรน ลุนเกรนด์ และ สตาฟฟาน บยอคลุนด์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันผจญภัยชิงแชมป์โลกที่เอกวาดอร์

    เส้นทางในปีนั้นค่อนข้างยาก เพราะนอกจากระยะทางรวมกว่า 700 กิโลเมตรที่มีตั้งแต่ป่าฝนแบบแอมะซอนไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว พวกเขายังต้องเผชิญกับระดับความสูง 4,500 เมตรของเทือกเขาแอนดีส และสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วถึง 13 โซนทั่วเอกวาดอร์

    "ถ้าคุณอยากจะเก่งที่สุดสำหรับกีฬานี้ คุณจำเป็นจะต้องเจ็บปวด" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าวกับ ESPN

    การพานพบที่ไม่ตั้งใจ
    "เป้าหมายของเราคืออันดับ 1 และคว้าแชมป์โลก" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าว

    สำหรับ Adventure Racing World Championship ปี 2014 พีกเพอร์ฟอแมนซ์ถือว่าทำผลงานได้ไม่เลว เมื่อพวกเขามาถึงจุดเปลี่ยนกิจกรรมรองสุดท้าย ที่เปลี่ยนจากการปั่นจักรยานมาเป็นเดินป่า ตั้งแต่วันที่ 4 ของการแข่งขัน

    ตอนนั้นพวกเขาตามหลังผู้นำอยู่ไม่กี่ชั่วโมงและยังมีโอกาสที่จะแซงได้ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อลินด์นอร์ดไปสะดุดตากับสุนัขจรจัดเนื้อตัวสกปรกตัวหนึ่งระหว่างพักเบรกรอเดินทางไปยังจุดต่อไป

    มันมีสภาพที่ย่ำแย่สุดขีด ตัวเต็มไปด้วยโคลน และมีแผลขนาดใหญ่ที่กลางหลัง พร้อมเลือดที่เกรอะกรังไปทั่วตัว เขาคาดว่ามันน่าจะโดนทำร้ายมา ด้วยความสงสารลินด์นอร์ดจึงแบ่งลูกชิ้นที่ติดตัวมาให้มันกิน

    "ตอนผมกำลังเปิดกล่องอาหาร ตาผมก็เหลือบไปเห็นสุนัขท่าทางสกปรกตัวหนึ่ง" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Aftonbladet สื่อของสวีเดน

    "ผมคิดว่ามันกำลังหิวก็เลยเอาลูกชิ้นให้มัน หลังจากนั้นก็คิดว่าจะไม่ให้แล้ว"

    หลังจากนั้นลินด์นอร์ดและทีมก็ออกเดินทางต่อเพราะฟ้ามืดลงแล้ว แต่เมื่อเขาหยุดพักเพื่อจัดของระหว่างทาง ลินด์นอร์ดก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ไกล ๆ ในป่า ก่อนจะรู้ว่ามันคือสุนัขที่เขาเพิ่งให้ลูกชิ้นไป

    "เฮ้ เจ้าหมา แกไม่กลับบ้านเหรอ แกจะเอาไงต่อ จะไปกับเราเหรอ" ลินด์นอร์ด ถามสุนัขตัวนั้น

    แน่นอนว่าลินด์นอร์ดเพียงแค่เย้ามันเล่น เพราะการเอาสุนัขเดินทางไปด้วยไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทางข้างหน้าล้วนโหดหิน โดยเฉพาะโคลนที่สูงระดับเข่าที่มนุษย์เองบางทียังเอาตัวเองเกือบไม่รอด

    ทว่าสุนัขจรจัดตัวนั้นไม่ได้รับรู้หรือบางทีมันอาจจะไม่สน มันเดินตามลินด์นอร์ดและทีมไปตลอดทางในป่า แถมบางครั้งพวกเขาต้องช่วยกันดึงมันออกมาจากโคลนด้วยซ้ำ

    ไม่นานมันก็สนิทกับทุกคนในทีม และนอกจากมันจะร่วมทางไปด้วยแล้ว มันยังคอยเฝ้าระวังตอนที่ทีมหยุดพัก เช่นตอนที่ ไซมอน นีมี อยู่ในสภาวะขาดน้ำ มันก็นั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ห่าง

    พวกเขาจึงตัดสินใจให้มันเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม และตั้งชื่อมันว่า อาร์เธอร์ ที่มาจากกษัตริย์อาร์เธอร์ กษัตริย์อังกฤษในตำนาน จากความสง่างามของมัน

    "ผมคิดว่ามันสมควรได้รับชื่อว่าอาร์เธอร์ เหมือนกับราชา" ลินด์นอร์ด อธิบาย

    และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพครั้งสำคัญ

    เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน
    อาร์เธอร์เดินตามลินด์นอร์ดและสมาชิกในทีมจนออกมาจากป่าได้สำเร็จในวันที่ 5 ของการแข่งขัน ในสภาพที่อ่อนแรงทั้งคนและสุนัข พวกเขาเหลืออีกเพียงแค่ด่านเดียวก็จะจบการแข่งขัน

    "อาเธอร์เดิมพันชีวิตของมันไว้กับเรา มันเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการไปกับเราในป่า ดังนั้นผมจึงเดิมพันกับมันเหมือนกัน และผมก็โชคดีมากเพราะมันเป็นหมาที่น่ารักที่สุดในโลก" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Daily Mail

    ทว่าเส้นทางของอาร์เธอร์ดูเหมือนจะสิ้นสุดที่ด่านสุดท้าย เมื่อสมาชิกต้องพายเรือเป็นระยะทางกว่า 54.7 กิโลเมตรในเส้นทางที่อันตราย และคาดว่าน่าจะใช้เวลาราว 14 ชั่วโมงกว่าจะถึงเส้นชัย การเอาสุนัขไปด้วยจะเป็นอุปสรรคกับพวกเขามากกว่า

    บวกกับผู้จัดการแข่งขันก็แนะนำให้ทิ้งมันไว้ที่ริมฝั่ง ซึ่งพวกเขาก็เคารพคำแนะนำนั้น ก่อนจะบอกลาเพื่อนสี่ขาด้วยสภาพจำยอม

    "ทีมผู้จัดการแข่งขันให้คำแนะนำว่าไม่ควรเอาอาร์เธอร์ไปด้วยในด่านสุดท้าย หมาในเรือคายัคไม่ได้เป็นไอเดียที่ดี ทีมก็เลยทำตามคำแนะนำ" ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ ย้อนความหลังใน Facebook อย่างเป็นทางการของทีม

    แต่อาร์เธอร์ก็ไม่ยอม เพราะทันทีที่ทีมออกจากฝั่งมันก็เริ่มเห่า กระโดดลงน้ำ และว่ายมาหาพวกเขา จนทำให้ลินด์นอร์ดทนดูภาพนี้ไม่ไหว ตัดสินใจรับมันขึ้นมาอยู่บนเรือคายัค ท่ามกลางเสียงปรบมือของคนที่อยู่บนฝั่ง

    "เมื่อเราออกตัวผมมองไปที่มันแล้วเริ่มพาย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงน้ำกระเซ็น" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ ESPN

    "อาร์เธอร์กระโดดลงมาในน้ำ มันว่ายตามหลังเรามา ชัดเจนว่ามันคือส่วนหนึ่งของเรา การดูแลหมาตัวนี้ยิ่งใหญ่กว่าการได้รับชัยชนะ" บยอคลุนด์ เสริม

    อย่างไรก็ดีการมีสุนัขอยู่บนเรือไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหาวิธีพายเพื่อไม่ให้โดนตัวอาร์เธอร์ แถมบางครั้งมันยังพยายามกระโดดลงน้ำและทำให้พวกเขาต้องลงไปช่วย เรียกได้ว่าทุลักทุเลทั้งคนและสัตว์

    "มันขวางทางตลอดเวลาพาย และทำให้เราต้องหาเทคนิคในการพายใหม่ เพื่อไม่ให้โดนมันจนตกน้ำ" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Gear Junkies

    "บางครั้งมันก็กระโดดลงไปในน้ำและว่ายน้ำ แล้วคลานขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหนาวจัด ทำให้เราต้องเอาแจ็คเก็ตห่มให้มัน"

    "ครั้งหนึ่งตอนที่เราอยู่ใกล้กับฝั่ง มันกระโดดออกไปและว่ายไปที่ฝั่ง เราคิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นมัน แต่มันก็วิ่งไปตามถนนแล้วกระโดดลงน้ำว่ายมาหาเรา"

    และหลังจากผ่านเส้นทางอันหฤโหดในวันที่ 6 ของการแข่งขัน พวกเขาก็เข้าเส้นชัยด้วยสมาชิก 5 ชีวิต แทนที่จะเป็น 4 และจบในอันดับ 12 จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 54 ทีม

    แต่การเดินทางของอาร์เธอร์ไม่ได้จบลงแค่นี้


    มิตรภาพบริสุทธิ์
    "เขารู้สึกอะไรบางอย่างกับอาร์เธอร์และคิดว่าปล่อยมันไว้ไม่ได้ เขาแค่อยากจะช่วยเพื่อนของเขา" เฮเลนา ลินด์นอร์ด ภรรยาของมิคาเอล บอกกับ ESPN

    หลังการแข่งขันลินด์นอร์ดรู้สึกว่าเขาจะทิ้งอาร์เธอร์ไว้ไม่ได้และอยากจะพามันกลับไปสวีเดนด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เงินไม่น้อยในการขนสัตว์เลี้ยงข้ามทวีป รวมไปถึงต้องรักษาบาดแผลของมันก่อน

    "ผมรู้ทันทีเลยว่าผมอยากพามันกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวของผม และให้มันได้มีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Daily Mail

    ลินด์นอร์ดจึงเล่าเรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ แล้วเปิดรับบริจาคผ่านบัญชี Paypal จนทำให้ชื่อของอาร์เธอร์โด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมของเอกวาดอร์ และคณะกรรมการเกษตรสวีเดน ที่อนุญาตให้พาเพื่อนใหม่ของเขาไปสวีเดนได้

    หลังจากเข้ารับการรักษาจากสัตวแพทย์และกักตัวครบ 120 วัน มีนาคม 2015 อาร์เธอร์ก็เดินทางจากเอกวาดอร์ไปอยู่กับครอบครัวของลินด์นอร์ดในเมือง Örnsköldsvik ทางตอนกลางของสวีเดน

    "มันรู้สึกแฮปปี้ที่อยู่กับเรา ตอนที่เรามารับมัน มันกระโดดไปรอบ ๆ จุ๊บเราและนอนลงเพื่อให้เราเกาท้อง มันทักทายทุกคนที่พบระหว่างวัน" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ MailOnline

    "เรารอวันนี้มานาน และตอนนี้มันก็อยู่ที่นี่ มันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา และเป็นวันที่ดีกว่าเดิมสำหรับอาร์เธอร์"

    อาร์เธอร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวใหม่ ได้ออกไปเที่ยวหลากหลาย ก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบในปี 2020 ด้วยอายุราว 12 ปี

    ทว่าเรื่องราวของอาร์เธอร์ยังคงถูกเล่าขาน ผ่านทั้งหนังสือของลินด์นอร์ดที่มีชื่อว่า The Dog who Crossed the Jungle to Find a Home ในปี 2016 ไปจนถึงสารคดีมากมายก่อนมันเสียชีวิต

    นอกจากนี้อาร์เธอร์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ก่อตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อช่วยเหลือสุนัขข้างถนน รวมถึงโครงการ "สุนัขชุมชน" ที่จะจัดหาสัตวแพทย์ไปคอยดูแลสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ

    แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของอาร์เธอร์ที่ทำให้มันได้รับชีวิตใหม่ และได้เจอกับครอบครัวที่รักมัน … ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต

    "มันเป็นนักสู้เหมือนกับผมที่ไม่เคยยอมแพ้ ผมมองเห็นสิ่งนั้นในป่าตอนที่มันตามเรามา" ลินด์นอร์ด ทิ้งท้าย

    Cr. https://mainstand.co.th/th/features/6/article/3276

    #dog
    ก่อนหน้านั้นได้โพสหนังเรื่อง Arthur the King : อาเธอร์ จอมราชา ที่สร้างจากเรื่องจริงเกี่ยวกับ น้องหมาจรจัดที่คอยวิ่งตามเป้นกำลังให้กับนักกีฬาจนประสบความสำเร็จ โพสนี้เลยขอนำเสนอเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดหนังเรื่องนี้ขึ้นมาครับ ไปดูกันเลยครับ อาร์เธอร์ : สุนัขจรจัดที่ฝ่าเส้นทางวิ่งเทรลหฤโหดจนเข้าเส้นชัย เพียงเพราะตามคนให้อาหาร "ผมมาเอกวาดอร์เพื่อคว้าแชมป์โลก แต่ผมได้เพื่อนใหม่กลับไป" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าว การแข่งขันผจญภัย หรือ Adventure race ถือเป็นหนึ่งในการแข่งขันสุดท้าทาย เพราะไม่เพียงต้องพาตัวเองและทีมเข้าเส้นชัย แต่ยังต้องเอาตัวรอดท่ามกลางสภาพอากาศและภูมิประเทศอันโหดหิน อย่างไรก็ดีหลายปีก่อนกลับมีสุนัขจรจัดเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วยความบังเอิญ แถมยังสามารถเข้าเส้นชัยพร้อมกับมนุษย์ เพียงเพราะตามคนที่ให้อาหารมัน ศึกเอาชีวิตรอด แม้ว่าชื่อของ Adventure race หรือการแข่งขันผจญภัย อาจจะไม่ได้คุ้นหูชาวไทยมากนัก แต่มันก็เป็นการแข่งขันที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก หลังเริ่มจัดชิงแชมป์โลกมาตั้งแต่ปี 2000 แต่ละทีมที่มีสมาชิก 2-4 คน จะต้องเดินทางเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรในเส้นทางที่ไม่ปรากฎบนแผนที่ และอาจจะเจอกับสภาพอากาศที่สุดขั้ว ผ่านการปีนเขา เดินป่า ปั่นจักรยาน และพายเรือคายัค การแข่งขันอาจจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 วัน และแต่ละวันผู้เข้าร่วมการแข่งขันอาจจะได้พักกันแค่ชั่วโมงเดียวหรือน้อยกว่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาจะต้องเกาะกลุ่มกัน แบ่งสรรปันส่วนอาหารและน้ำ และแน่นอนว่าหากใครในทีมได้รับบาดเจ็บก็จะต้องพาไปด้วย เพื่อเข้าเส้นชัยพร้อมกันจึงจะถือว่าจบการแข่งขัน ปี 2014 ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ จากสวีเดน หนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก ประกอบไปด้วย มิคาเอล ลินด์นอร์ด, ไซมอน นีมี, คาเรน ลุนเกรนด์ และ สตาฟฟาน บยอคลุนด์ ได้เข้าร่วมการแข่งขันผจญภัยชิงแชมป์โลกที่เอกวาดอร์ เส้นทางในปีนั้นค่อนข้างยาก เพราะนอกจากระยะทางรวมกว่า 700 กิโลเมตรที่มีตั้งแต่ป่าฝนแบบแอมะซอนไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกแล้ว พวกเขายังต้องเผชิญกับระดับความสูง 4,500 เมตรของเทือกเขาแอนดีส และสภาพอากาศที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้วถึง 13 โซนทั่วเอกวาดอร์ "ถ้าคุณอยากจะเก่งที่สุดสำหรับกีฬานี้ คุณจำเป็นจะต้องเจ็บปวด" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าวกับ ESPN การพานพบที่ไม่ตั้งใจ "เป้าหมายของเราคืออันดับ 1 และคว้าแชมป์โลก" มิคาเอล ลินด์นอร์ด กล่าว สำหรับ Adventure Racing World Championship ปี 2014 พีกเพอร์ฟอแมนซ์ถือว่าทำผลงานได้ไม่เลว เมื่อพวกเขามาถึงจุดเปลี่ยนกิจกรรมรองสุดท้าย ที่เปลี่ยนจากการปั่นจักรยานมาเป็นเดินป่า ตั้งแต่วันที่ 4 ของการแข่งขัน ตอนนั้นพวกเขาตามหลังผู้นำอยู่ไม่กี่ชั่วโมงและยังมีโอกาสที่จะแซงได้ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเมื่อลินด์นอร์ดไปสะดุดตากับสุนัขจรจัดเนื้อตัวสกปรกตัวหนึ่งระหว่างพักเบรกรอเดินทางไปยังจุดต่อไป มันมีสภาพที่ย่ำแย่สุดขีด ตัวเต็มไปด้วยโคลน และมีแผลขนาดใหญ่ที่กลางหลัง พร้อมเลือดที่เกรอะกรังไปทั่วตัว เขาคาดว่ามันน่าจะโดนทำร้ายมา ด้วยความสงสารลินด์นอร์ดจึงแบ่งลูกชิ้นที่ติดตัวมาให้มันกิน "ตอนผมกำลังเปิดกล่องอาหาร ตาผมก็เหลือบไปเห็นสุนัขท่าทางสกปรกตัวหนึ่ง" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Aftonbladet สื่อของสวีเดน "ผมคิดว่ามันกำลังหิวก็เลยเอาลูกชิ้นให้มัน หลังจากนั้นก็คิดว่าจะไม่ให้แล้ว" หลังจากนั้นลินด์นอร์ดและทีมก็ออกเดินทางต่อเพราะฟ้ามืดลงแล้ว แต่เมื่อเขาหยุดพักเพื่อจัดของระหว่างทาง ลินด์นอร์ดก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ไกล ๆ ในป่า ก่อนจะรู้ว่ามันคือสุนัขที่เขาเพิ่งให้ลูกชิ้นไป "เฮ้ เจ้าหมา แกไม่กลับบ้านเหรอ แกจะเอาไงต่อ จะไปกับเราเหรอ" ลินด์นอร์ด ถามสุนัขตัวนั้น แน่นอนว่าลินด์นอร์ดเพียงแค่เย้ามันเล่น เพราะการเอาสุนัขเดินทางไปด้วยไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทางข้างหน้าล้วนโหดหิน โดยเฉพาะโคลนที่สูงระดับเข่าที่มนุษย์เองบางทียังเอาตัวเองเกือบไม่รอด ทว่าสุนัขจรจัดตัวนั้นไม่ได้รับรู้หรือบางทีมันอาจจะไม่สน มันเดินตามลินด์นอร์ดและทีมไปตลอดทางในป่า แถมบางครั้งพวกเขาต้องช่วยกันดึงมันออกมาจากโคลนด้วยซ้ำ ไม่นานมันก็สนิทกับทุกคนในทีม และนอกจากมันจะร่วมทางไปด้วยแล้ว มันยังคอยเฝ้าระวังตอนที่ทีมหยุดพัก เช่นตอนที่ ไซมอน นีมี อยู่ในสภาวะขาดน้ำ มันก็นั่งเฝ้าอยู่ตรงนั้นไม่ห่าง พวกเขาจึงตัดสินใจให้มันเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีม และตั้งชื่อมันว่า อาร์เธอร์ ที่มาจากกษัตริย์อาร์เธอร์ กษัตริย์อังกฤษในตำนาน จากความสง่างามของมัน "ผมคิดว่ามันสมควรได้รับชื่อว่าอาร์เธอร์ เหมือนกับราชา" ลินด์นอร์ด อธิบาย และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพครั้งสำคัญ เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน อาร์เธอร์เดินตามลินด์นอร์ดและสมาชิกในทีมจนออกมาจากป่าได้สำเร็จในวันที่ 5 ของการแข่งขัน ในสภาพที่อ่อนแรงทั้งคนและสุนัข พวกเขาเหลืออีกเพียงแค่ด่านเดียวก็จะจบการแข่งขัน "อาเธอร์เดิมพันชีวิตของมันไว้กับเรา มันเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างด้วยการไปกับเราในป่า ดังนั้นผมจึงเดิมพันกับมันเหมือนกัน และผมก็โชคดีมากเพราะมันเป็นหมาที่น่ารักที่สุดในโลก" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Daily Mail ทว่าเส้นทางของอาร์เธอร์ดูเหมือนจะสิ้นสุดที่ด่านสุดท้าย เมื่อสมาชิกต้องพายเรือเป็นระยะทางกว่า 54.7 กิโลเมตรในเส้นทางที่อันตราย และคาดว่าน่าจะใช้เวลาราว 14 ชั่วโมงกว่าจะถึงเส้นชัย การเอาสุนัขไปด้วยจะเป็นอุปสรรคกับพวกเขามากกว่า บวกกับผู้จัดการแข่งขันก็แนะนำให้ทิ้งมันไว้ที่ริมฝั่ง ซึ่งพวกเขาก็เคารพคำแนะนำนั้น ก่อนจะบอกลาเพื่อนสี่ขาด้วยสภาพจำยอม "ทีมผู้จัดการแข่งขันให้คำแนะนำว่าไม่ควรเอาอาร์เธอร์ไปด้วยในด่านสุดท้าย หมาในเรือคายัคไม่ได้เป็นไอเดียที่ดี ทีมก็เลยทำตามคำแนะนำ" ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ ย้อนความหลังใน Facebook อย่างเป็นทางการของทีม แต่อาร์เธอร์ก็ไม่ยอม เพราะทันทีที่ทีมออกจากฝั่งมันก็เริ่มเห่า กระโดดลงน้ำ และว่ายมาหาพวกเขา จนทำให้ลินด์นอร์ดทนดูภาพนี้ไม่ไหว ตัดสินใจรับมันขึ้นมาอยู่บนเรือคายัค ท่ามกลางเสียงปรบมือของคนที่อยู่บนฝั่ง "เมื่อเราออกตัวผมมองไปที่มันแล้วเริ่มพาย จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงน้ำกระเซ็น" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ ESPN "อาร์เธอร์กระโดดลงมาในน้ำ มันว่ายตามหลังเรามา ชัดเจนว่ามันคือส่วนหนึ่งของเรา การดูแลหมาตัวนี้ยิ่งใหญ่กว่าการได้รับชัยชนะ" บยอคลุนด์ เสริม อย่างไรก็ดีการมีสุนัขอยู่บนเรือไม่ใช่เรื่องง่าย พวกเขาต้องหาวิธีพายเพื่อไม่ให้โดนตัวอาร์เธอร์ แถมบางครั้งมันยังพยายามกระโดดลงน้ำและทำให้พวกเขาต้องลงไปช่วย เรียกได้ว่าทุลักทุเลทั้งคนและสัตว์ "มันขวางทางตลอดเวลาพาย และทำให้เราต้องหาเทคนิคในการพายใหม่ เพื่อไม่ให้โดนมันจนตกน้ำ" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Gear Junkies "บางครั้งมันก็กระโดดลงไปในน้ำและว่ายน้ำ แล้วคลานขึ้นมาอีกครั้งด้วยความหนาวจัด ทำให้เราต้องเอาแจ็คเก็ตห่มให้มัน" "ครั้งหนึ่งตอนที่เราอยู่ใกล้กับฝั่ง มันกระโดดออกไปและว่ายไปที่ฝั่ง เราคิดว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เห็นมัน แต่มันก็วิ่งไปตามถนนแล้วกระโดดลงน้ำว่ายมาหาเรา" และหลังจากผ่านเส้นทางอันหฤโหดในวันที่ 6 ของการแข่งขัน พวกเขาก็เข้าเส้นชัยด้วยสมาชิก 5 ชีวิต แทนที่จะเป็น 4 และจบในอันดับ 12 จากผู้เข้าร่วมทั้งหมด 54 ทีม แต่การเดินทางของอาร์เธอร์ไม่ได้จบลงแค่นี้ มิตรภาพบริสุทธิ์ "เขารู้สึกอะไรบางอย่างกับอาร์เธอร์และคิดว่าปล่อยมันไว้ไม่ได้ เขาแค่อยากจะช่วยเพื่อนของเขา" เฮเลนา ลินด์นอร์ด ภรรยาของมิคาเอล บอกกับ ESPN หลังการแข่งขันลินด์นอร์ดรู้สึกว่าเขาจะทิ้งอาร์เธอร์ไว้ไม่ได้และอยากจะพามันกลับไปสวีเดนด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องใช้เงินไม่น้อยในการขนสัตว์เลี้ยงข้ามทวีป รวมไปถึงต้องรักษาบาดแผลของมันก่อน "ผมรู้ทันทีเลยว่าผมอยากพามันกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวของผม และให้มันได้มีชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ Daily Mail ลินด์นอร์ดจึงเล่าเรื่องนี้ผ่านทวิตเตอร์ แล้วเปิดรับบริจาคผ่านบัญชี Paypal จนทำให้ชื่อของอาร์เธอร์โด่งดังไปทั่วโลก ก่อนที่เขาจะได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมของเอกวาดอร์ และคณะกรรมการเกษตรสวีเดน ที่อนุญาตให้พาเพื่อนใหม่ของเขาไปสวีเดนได้ หลังจากเข้ารับการรักษาจากสัตวแพทย์และกักตัวครบ 120 วัน มีนาคม 2015 อาร์เธอร์ก็เดินทางจากเอกวาดอร์ไปอยู่กับครอบครัวของลินด์นอร์ดในเมือง Örnsköldsvik ทางตอนกลางของสวีเดน "มันรู้สึกแฮปปี้ที่อยู่กับเรา ตอนที่เรามารับมัน มันกระโดดไปรอบ ๆ จุ๊บเราและนอนลงเพื่อให้เราเกาท้อง มันทักทายทุกคนที่พบระหว่างวัน" ลินด์นอร์ด กล่าวกับ MailOnline "เรารอวันนี้มานาน และตอนนี้มันก็อยู่ที่นี่ มันเป็นวันที่ยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา และเป็นวันที่ดีกว่าเดิมสำหรับอาร์เธอร์" อาร์เธอร์ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับครอบครัวใหม่ ได้ออกไปเที่ยวหลากหลาย ก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบในปี 2020 ด้วยอายุราว 12 ปี ทว่าเรื่องราวของอาร์เธอร์ยังคงถูกเล่าขาน ผ่านทั้งหนังสือของลินด์นอร์ดที่มีชื่อว่า The Dog who Crossed the Jungle to Find a Home ในปี 2016 ไปจนถึงสารคดีมากมายก่อนมันเสียชีวิต นอกจากนี้อาร์เธอร์ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ทีมพีกเพอร์ฟอร์แมนซ์ก่อตั้งมูลนิธิการกุศลเพื่อช่วยเหลือสุนัขข้างถนน รวมถึงโครงการ "สุนัขชุมชน" ที่จะจัดหาสัตวแพทย์ไปคอยดูแลสุนัขที่ไม่มีเจ้าของ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของอาร์เธอร์ที่ทำให้มันได้รับชีวิตใหม่ และได้เจอกับครอบครัวที่รักมัน … ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต "มันเป็นนักสู้เหมือนกับผมที่ไม่เคยยอมแพ้ ผมมองเห็นสิ่งนั้นในป่าตอนที่มันตามเรามา" ลินด์นอร์ด ทิ้งท้าย Cr. https://mainstand.co.th/th/features/6/article/3276 #dog
    Love
    Yay
    5
    15 Комментарии 0 Поделились 1Кб Просмотры
  • อีแม่..ก็ชั่งหาให้หนูตลอดเยย
    #ของช๊อบชอบ
    หญ้าตำแยแมว (ลูกสาวเฉาก๊วย)
    อีแม่..ก็ชั่งหาให้หนูตลอดเยย #ของช๊อบชอบ หญ้าตำแยแมว (ลูกสาวเฉาก๊วย🥰😘🐈‍⬛)
    Love
    2
    2 Комментарии 0 Поделились 475 Просмотры
  • จากโพสก่อนหน้า ได้กล่าวถึงหนังเรื่อง Hachi : A Dog's Tale "ฮาชิ..หัวใจพูดได้" ที่เป็นเรื่องราวของหมาน้อยชื่อ ฮาจิโกะ พันธุ์อาคิตะ ที่รอคอยเจ้าของหน้าสถานีรถไฟอยู่ทุกวัน แม้กระทั้งเจ้าของได้จากไปแล้วก็ยังคอยจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตนั้น

    สำหรับโพสนี้มาทำความรู้จักกับน้องฮาจิโกะ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมากันครับ

    https://www.springnews.co.th/keep-the-world/environment/847696
    จากโพสก่อนหน้า ได้กล่าวถึงหนังเรื่อง Hachi : A Dog's Tale "ฮาชิ..หัวใจพูดได้" ที่เป็นเรื่องราวของหมาน้อยชื่อ ฮาจิโกะ พันธุ์อาคิตะ ที่รอคอยเจ้าของหน้าสถานีรถไฟอยู่ทุกวัน แม้กระทั้งเจ้าของได้จากไปแล้วก็ยังคอยจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตนั้น สำหรับโพสนี้มาทำความรู้จักกับน้องฮาจิโกะ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นหนังเรื่องนี้ขึ้นมากันครับ https://www.springnews.co.th/keep-the-world/environment/847696
    WWW.SPRINGNEWS.CO.TH
    ฮาจิโกะ: สุนัขที่นั่งคอยเจ้านายเป็น 10 ปี จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
    เรื่องราวของคนและสุนัข ที่ถูกส่งต่อมาหลายยุคหลายสมัย แต่ยังซาบซึ้งกินใจมาจนถึงปัจจุบัน "ฮาจิโกะ" สุนัขผู้ซื่อสัตย์แห่งสถานีรถไฟชิบูย่า ที่นั่งคอยเจ้านายเป็น 10 ปี จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
    Like
    1
    0 Комментарии 0 Поделились 621 Просмотры
  • หากพูดถึงหนังเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก และทำให้เสียน้ำตามากที่สุด โดยส่วนตัวแล้ว ขอยกให้กับหนังเรื่อง Hachi a Dog's Tale หรือชื่อภาษาไทยว่า “ฮาชิ หัวใจพูดได้” ที่นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และเป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องจริงของประเทศญี่ปุ่น ที่ว่าด้วยความซื่อสัตย์ของเจ้าหมาน้อยพันธ์ุอาคิตะของอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ที่คอยเฝ้ารอเจ้าของกลับมาจากที่ทำงานตลอดเวลา ในทุกวัน จนวันหนึ่งเจ้าของได้จากไปกระทันหัน และไม่ได้กลับมาที่เดิม แต่เจ้าชิบะน้อยก็ยังคอยเฝ้ารอเจ้าของอยู่ตลอดเวลา แม้จะได้กลับไปบ้าน แต่ก็ยังคงวิ่งมานั่งรอ ณ จุดเดิม จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งบอกได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี เนื้อเรื่องเรียบง่าย อบอุ่น แต่ช่วงท้ายกลับเต็มไปด้วยความเศร้า ที่ต้องบอกว่าขอดูครั้งเดียวพอ เพราะดูแล้วทำให้ร้องไห้ หลั่งน้ำตาออกมาเลย และขอยกให้เป็นหนังที่ทำให้เสียน้ำตามากที่สุดเรื่องนึง นับแต่ดูหนังมาเลย

    #cutepet #dog #สัตว์เลี้ยง #Hachi
    หากพูดถึงหนังเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก และทำให้เสียน้ำตามากที่สุด โดยส่วนตัวแล้ว ขอยกให้กับหนังเรื่อง Hachi a Dog's Tale หรือชื่อภาษาไทยว่า “ฮาชิ หัวใจพูดได้” ที่นำแสดงโดย ริชาร์ด เกียร์ และเป็นหนังที่อิงมาจากเรื่องจริงของประเทศญี่ปุ่น ที่ว่าด้วยความซื่อสัตย์ของเจ้าหมาน้อยพันธ์ุอาคิตะของอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ที่คอยเฝ้ารอเจ้าของกลับมาจากที่ทำงานตลอดเวลา ในทุกวัน จนวันหนึ่งเจ้าของได้จากไปกระทันหัน และไม่ได้กลับมาที่เดิม แต่เจ้าชิบะน้อยก็ยังคอยเฝ้ารอเจ้าของอยู่ตลอดเวลา แม้จะได้กลับไปบ้าน แต่ก็ยังคงวิ่งมานั่งรอ ณ จุดเดิม จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ซึ่งบอกได้ว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดี เนื้อเรื่องเรียบง่าย อบอุ่น แต่ช่วงท้ายกลับเต็มไปด้วยความเศร้า ที่ต้องบอกว่าขอดูครั้งเดียวพอ เพราะดูแล้วทำให้ร้องไห้ หลั่งน้ำตาออกมาเลย และขอยกให้เป็นหนังที่ทำให้เสียน้ำตามากที่สุดเรื่องนึง นับแต่ดูหนังมาเลย #cutepet #dog #สัตว์เลี้ยง #Hachi
    Love
    2
    0 Комментарии 0 Поделились 435 Просмотры
Спонсоры